อ.สุทัศน์ กุลสันติพงศ์
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนทางเลือก www.zhenguhealthland.com
บทความพิเศษจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสฯ ที่ 24 มิ.ย. 2564
ทำไมทั่วโลกไวรัสโควิท-19 ยังแพร่เชื้อกระจายไม่หยุดนิ่ง
เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2019 ไวรัสโควิด-19 ระบาดแพร่เชื้อไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน 1 ปีครึ่ง ถึงแม้ตลอดเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลนาๆประเทศมีความตั้งใจหาทุกมาตราการในการควบคุมสกัดการแพร่เชื้อของโรคไวรัสโควิด-19 ประกาศภาวะฉุกเฉิน รณรงค์หรือประกาศเป็นกฎหมายบังคับให้พลเมืองสวมใส่หน้ากาก เว้นระยะห่างทางสังคมหมั่นล้างมือ ปิดเมืองปิดประเทศ
เริ่มตั้งแต่ปีนี้ (2564) รัฐบาลทุกประเทศทยอยฉีดวัคซีนให้กับพลเมือง ถึงวันที่22 มิถุนายน 2564 ฉีดวัคซีนไปแล้ว 2 พันกว่าล้านโดสใน 201 ประเทศเขตปกครอง
ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเพียงแต่ช่วยเสริมให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานและข้อพิสูจน์ใดๆ แสดงว่าการฉีดวัคซีนจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเป็นโรคโควิด- 19
น่าจะเหตุผลดังกล่าวรวมทั้งปัจจุบันสุขภาพร่างกายมนุษย์ ยังถูกปัจจัยลบต่างๆทั้งภายนอกและภายในกระทบกระเทือนบั่นทอนอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสาเหตุที่ไวรัสโควิท-19 ยังแพร่เชื้อต่อเนื่องไม่หยุด จนถึงปัจจุบัน วันที่ 21 มิถุนายน 2564 ทั่วโลกมีผู้ป่วย 172 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตสะสมประมาณ 3.8 ล้านคน
อาการของโรคโควิท-19 มีส่วนคล้ายคลึงกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป เช่น ตัวร้อน ร่างกายอ่อนล้า ขับเสมหะไม่ออก ทานข้าวไม่ดี ปวดเมื่อยลำตัว ฯลฯ แต่จะมีอาการร้ายแรงกว่า ทันทีทันใดที่เชื้อแพร่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ก็จะสามารถขยายพันธ์ และเกาะติดเป็นก้อนเหลวที่เหนียวมาก จะทำให้ระบบทางเดินหายใจขัดข้อง ติดขัดรุนแรงจนกระทั่งเสียชีวิต ไวรัสโควิท-19 แพร่เชื้อได้เร็วกว่า ผู้ที่ติดเชื้อแต่ยังไม่สะท้อนอาการ ก็สามารถแพร่เชื้อกระจายให้ผู้อื่น
ผู้ที่ติดเชื้อเป็นโควิท-19 ส่วนมากจะเป็นบุคคลที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้สูงวัยที่ร่างกายมีโรคประจำตัวสะสมอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายมีอาการโรคประจำตัวหลายสิ่งสะสมง่ายที่จะถูกโรคโควิท-19 แทรกซึมทำร้าย
แล้วสาเหตุเพราะอะไร ไวรัสโควิท 19 ยังแพร่เชื้ออยู่ทั่วโลกไม่หยุด
ปัจจัยภายนอก ที่ส่งผลทำให้ภูมิคุ้มกันของประชากรโลกตกต่ำ และง่ายถูกโควิท-19 ทำร้ายจนล้มป่วยไม่สบาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพรวมธรรมชาติทั่วโลกสูญเสียความสมดุล สิ่งแวดล้อมมลภาวะเป็นพิษรุนแรง ระบบนิเวศถูกทำลายสิ่งมีชีวิตสัตว์ป่าถูกฆ่าตายเป็นเบื่อหรือกระทั่งสูญพันธ์ ภาพรวมธรรมชาติโลกสูญเสียความสมดุล ป่าไม้ถูกโค่นล้มทำลายมากมาย ระบบนิเวศถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตสัตว์ป่าสูญพันธ์มากมาย สิ่งแวดล้อมมลภาวะเป็นพิษรุนแรง ชั้นอากาศออกซิเจนลดน้อยลง มนุษย์ขาดปัจจัยออกซิเจนเพียงพอในการบริโภคหล่อเลี้ยงชีวิต และเสริมสร้างพลังลมปราณพลังชี่ เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
ทำให้ผู้คนส่วนมากภูมิคุ้มกันตกต่ำ เป็นปัจจัยหลักทำให้โลกสูญเสียพลัง ในการถ่วงดุลควบคุมสกัดการขยายพันธ์ของเชื้อโรคไวรัสต่างๆ รวมทั้งโควิท-19 ให้อยู่ในปริมาณที่สมส่วน แต่กลับเสริมปัจจัยลบไปกระตุ้นให้เชื้อโรคไวรัสต่างๆ ดังกล่าวขยายพันธ์กลายพันธ์เป็นเชื้อไวรัสที่รุนแรง ทำร้ายร่างกายมนุษย์
ปัจจัยลบภายใน ประชากรของเกือบทุกประเทศ ดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงกันคือดำเนินชีวิตสวนทางหันหลังให้กับธรรมชาติ การเคลื่นไหวของร่างกายมนุษย์ลดน้อยลงไปอย่างมาก ส่งผลทำให้เลือดไหลเวียนช้าลงอ่อนกำลังไม่สม่ำเสมอ และส่งผลทำให้อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายตกต่ำ ไร้ประสิทธิภาพ โดนเฉพาะกลไกของระบบย่อยขับถ่าย กลไกของระบบกลั่นกรอง กลไกของระบบดุลยภาพตกต่ำ ร่างกายมนุษย์ก็จะไม่สามารถขับของเสียสารพิษออกจากร่างกาย จึงทยอยตกค้างสะสมอยู่ในร่างกาย
ขณะที่อาหารการกิน ส่วนมากจะเจือปนไปด้วยสารเคมีหรือกระทั่งเป็นสารพิษจากยาฆ่าเชื้อ ยาฆ่าแมลง สารกันบูด วัตถุแปลกปลอมดังกล่าวเหล่านี้ เมื่อถูกนำเข้าไปในร่างกายมนุษย์แล้วไม่สามารถถูกขับออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทยอยตกค้างสะสมอยู่ในร่างกาย ไปผสมผสานเกาะรวมกับของเสียสารพิษเดิม บางส่วนจะไหลไปตามเส้นเลือด ไปสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดของปอด หัวใจ และข้อต่อต่างๆ นานวันก็จะแปรผันก่อเกิดเป็นอาการโรคหลอดเลือดตามมา
ปัจจัยลบภายนอกและภายใน ที่คอยกระทบกระเทือนบั่นทอนสุขภาพร่างกายของมนุษย์ในสมัยสังคมปัจจุบันอยู่เกือบตลอดเวลา ส่งผลทำให้ผู้คนส่วนมากสุขภาพร่างกายนับวันจะทรุดโทรมอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันตกต่ำ ง่ายต่อการเกิดเป็นโรคต่างๆ ตามมา เป็นสัญญาณเตือนภัยบ่งบอกถึงอันตราย ของการหายนะหรือกระทั่งมรณะของชีวิตมนุษย์ที่จะเกิดขึ้น เมื่อตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ คนส่วนมากในสังคมยังไม่สะกิดใจ ไม่ตื่นตัวสนใจ หรือกระทั่งมองข้ามเกี่ยวกับภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพและชีวิตของตน ยังมีกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่ยังดำเนินชีวิตประมาทเหมือนเดิม เช่น
- กลุ่มบุคคลที่ปกติ ไม่ค่อยมีการเคลื่นไหวร่างกาย ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ยังดื่มเหล้าดื่มเบียรปริมาณมาก สูบบุหรี่เหมือนเดิม นิยมทานอาหารที่ปรุงแต่งเกินควร อาหารรสจัด เค็ม เผ็ดจัด ไขมันโปรตีนสูง อาหารที่ย่อยยากและนิยมดื่มควบคู่กับเครื่องดื่มที่เจือปนด้วยสารคาเฟอีน ชึ่งมีผลต่อการบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานของไต พฤติกรรมของการใช้ชีวิตและบริโภคอาหารเช่นนี้ นอกจะเพิ่มภาระการทำงานหนักของกระเพาะอาหารลำใส้ ยังเสี่ยงที่จะก่อเกิดเป็นอาการพร่อง ไม่สบายของโรคไตและปอดตามมา
- หนุ่มสาวที่มีภาระรับผิดชอบมาก ทั้งจากครอบครัวและงานการที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้ต้องทำงานหนัก บ่อยครั้งต้องทำงานเกินเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่สามารถจัดสรรเวลาออกกำลังกายเป็นประจำ (หรือไม่นิยมออกกำลังกาย ) นิยมใช้เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา มากระตุ้นอารมณ์ในการทำงาน บ่อยครั้งนานวันจะบั่นทอนถึงประสิทธิภาพการทำงานของไต ภูมิคุ้มกันตกต่ำ และง่ายก่อเกิดเป็นอาการเจ็บป่วยไม่สบายตามมา และเมื่อเจ็บป่วยไม่สบาย นิยมใช้ยามาขจัดแก้ไขอาการที่มีอยู่ ผลข้างเคียงของยาที่รับประทานบ่อยจะทำให้ภุมิคุ้มกันยิ่งตำต่ำ
- กลุ่มบุคคลที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ในบริเวณ (หรือรัศมี) ของโรงงานต่างๆ ที่ผลิตสินค้า ผลิตภัณฑ์เกี่ยวสัมพันกับวัตถุสารเคมี โดยเฉพาะสารเคมีที่มีพิษรุนแรง จากสารเคมีที่ทยอยแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย ทยอยเกาะติดสะสมอยู่ตาม หลอดลม ปอด นานวันก็จะก่อเกิดเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและอาจลามทำให้หัวใจและอวัยวะอื่นๆในร่างกายพลอยบกพร่องและก่อเกิดเป็นโรคร้าย ตามมา
- เกือบทุกประเทศทั่วโลกจะมีประชากรจำนวนมาก ทุกวันต้องทานยาตามแพทย์สั่ง ควบคุมอาการโรคประจำตัวที่มีอยู่ในร่างกาย ดังเช่นโรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต ต่อมลูกหมากโต หรือกระทั่งโรคร้ายโรคมะเร็ง บุคคลดังกล่าวนี้ปกติไม่ค่อยสนใจที่จะไปเช็คตรวจสอบถามว่า ยาประจำที่ รับประทานอยู่ทุกวันนั้น จะส่งผลข้างเคียงบั่นทอนประสิทธิภาพของกระเพาะอาหาร ลำใส้และไตยังไง ยาประจำที่รับประทานต่อเนื่องถึงระยะเวลาหนึ่ง จะทำสุขภาพร่างกายอ่อนแอลง ภุมิคุ้มกันตกต่ำและง่ายก่อเกิดเป็นอาการโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมา
นี้คือสภาพความจริงของสุขภาพร่างกายของประชาชนส่วนมากในโลกเราใบนี้ ในสมัยสังคมปัจจุบัน ร่างกายเลือดไหลเวียนไร้ระเบียบ ประสิทธิภาพตกต่ำ อวัยวะต่างๆ ประสิทธิภาพงานต่ำทำงานบกพร่อง ทำให้ร่างกายขาดพลังขับของเสียสารพิษ ออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ หลอดเลือดมีของเสียสารพิษต่างๆ เกาะติดสะสมมากหรือกระทั่งตีบตัน ทั่วร่างกายสูญเสียความสมดุลภูมิคุ้มกันตกต่ำ จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมทั่วโลกมีผู้คนมากมายง่ายถูกโควิท-19 แพร่เชื้อทำร้าย น็อคที่เดียวล้มป่วยไม่เป็นท่าหรือกระทั่งเสียชีวิต
บทความพิเศษจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ ที่ 28 มิ.ย. 2564
โควิด-19 คุมอย่างไรไม่ให้แพร่ระบาด
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า มนุษย์จะควบคุมสกัดโควิด-19 ที่แพร่เชื้อรุนแรงได้ ต่อเมื่อคนส่วนมากมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ถึงจะสามารถสกัดต้านทาน เชื้อไวรัสโควิท19 นี้ได้
แล้วเราจะเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันให้แข็งเกร่งอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
ความจริงธรรมชาติสร้างมนุษย์เราโดยได้สำรองตัวภูมิคุ้มกันไว้อยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว แต่เพราะมนุษย์ในสมัยสังคมปัจจุบัน ดำเนินชีวิตหลายสิ่งที่ไร้ประสิทธิภาพ จนไปสกัดกดตัวภูมิคุ้มกันนี้ไว้อยู่ส่วนลึกร่างกาย แล้วจะทำยังไงถึงจะสามารถดึงภูมิคุ้มกันตัวนี้ออกมารับใช้สุขภาพร่างกายเรา
ตามประสบการณ์และทัศนคติของผม
1. ชีวิตขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งหมายถึงการออกกำลังกาย ต้องพยายามเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายให้มาก โดยเฉพาะต้องออกกำลังกายให้ถูกหลักที่มีประสิทธิภาพเป็นประจำทุกวัน การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ คือ ต้องต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่ทำๆหยุดๆ เวลาขั้นต่ำ 30 นาที ทางที่ดีคือ 1 ชั่วโมง ออกกำลังกายด้วยวิธีใด ประเภทใดขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกาย และความต้องการของแต่ละบุคคล
ช่วงที่เรากำลังบริหารการออกกำลังกายต่อเนื่องอยู่ ถึงเวลาระดับหนึ่งอวัยวะต่างๆ และกลไกระบบต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้นให้ร่วมปฎิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพทั่วทั้งร่างกายก็จะปรับเข้าสู่สมดุลที่สูงสุด จากนั้นจะหลั่งสาร Endorphin ออกมา สารนี้คือยาวิเศษหรือเป็นหมอที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายเรา เป็นสารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแรง สามารถป้องกันและต้านทานเชื้อโรคต่างๆจากภายนอก
2. บริโภคอาหารให้ถูกหลักอนามัยและดำเนินชีวิตให้มีระเบียบวินัย พยายามหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ปรุงแต่งเกินควร หลีกเลี่ยงทานอาหารที่รสจัด เผ็ดจัด เค็ม เปรี้ยวจัด ทานอาหารที่ย่อยสลายง่าย บริโภคผักผลไม้ให้มาก ในที่นี้ผมใคร่ขอแนะนำดังนี้
- พืชผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยในการย่อยขับถ่าย เช่น มันเทศ (มันต้มขิง, มันนึ่ง มันเผา ควรหลีกเลี่ยงที่จะกินตอนเย็นๆ ค่ำๆ ) แก้วมังกร (ไส้สีแดง ) ข้าวโพด ฟักทอง กล้วย ฯลฯ งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ เครื่องดื่มคาเฟอีน พยายามรักษาการขับถ่ายให้ได้ต่อวันขั่นต่ำ 1-2 ครั้ง แต่ 3 ครั้งได้ยิ่งดี (เป็นการขับถ่ายปกติ) เพราะว่าทุกวันนี้อาหารที่บริโภคอยู่ มีสารเคมีและสารพิษเจือปนมากมาย จึงต้องพยายามขับออกจากร่างกายให้มากเท่าที่จะมากได้เพื่อลดการตกค้างสะสมอยู่ในร่างกาย
- ดำเนินชีวิตให้มีระเบียบวินัย แต่ละวันจะต้องจัดสรรเวลาออกกำลังกาย ควบคู่การปฏิบัติหน้าที่ไปพร้อมกัน รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ
- บำรุงเสริมสร้างไตให้แข็งแรง อวัยวะไตเสมือนเป็นกองบัญชาการของร่างกาย ช่วยสร้างอสุจิ กลั่นกรองและควบคุมการขับของเสียออกจากร่างกาย ไตมีสารสำคัญที่จำเป็นต่อการสร้างเลือดและไขกระดูก เสริมสร้างกระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง ไตควบคุมหยินหยางให้สมดุลของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย จึงเป็นอวัยวะสำคัญที่เราต้องพยายามทะนุถนอมปกป้องไว้ ไตแข็งแรงสุขภาพร่างกายแข็งแกร่งหน้าตาเบิกบาน ไตพร่องประสิทธิภาพตกต่ำ สารพัดโรคก็จะตามเกิดขึ้น
ภูมิคุ้มกันออกมารับใช้สุขภาพเรา
ขณะนี้ทั่วโลกกำลังทำการฉีดวัคซีนให้ประชาชนของตนอย่างต่อเนื่อง ข่าวล่าสุดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโควิด-19 กล่าวว่า ถึงแม้ปัจจุบันทั่วโลกจะฉีดวัคซีนปริมาณมากระดับหนึ่งแล้ว มีหลายประเทศเห็นผลผู้ป่วยลดน้อยลง ตายน้อยลง แต่ภาพรวมทั่วโลกตัวเลขผู้ป่วยยังพุ่งสูงไม่หยุด
หลายๆประเทศกลับมาปิดเมืองปิดประเทศอีก ดูสถานการณ์แล้วคงต้องใช้เวลาอีกประมาณ 3 ปี ถึงจะสามารถควบคุมสกัดการแพร่เชื้อของโควิท-19 นี้ได้ แพทย์อีกท่านกล่าวเสริมว่าโควิท-19 นี้ เหมือนไวรัสหวัดใหญ่ทั่วไป จะอยู่ในโลกนี้อยู่คู่กับมนุษย์ไปเรื่อยๆ มนุษย์คงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนต่อเนื่องทุกๆปี เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันดีขึ้นต่อเนื่อง
คำถามของเราที่จะตามมาก็คือ อยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันโควิท-19 กำลังแพร่เชื้อไม่หยุดโดยเฉพาะโควิท-19 กลายพันธ์ หลายตัวที่พบใหม่สามารถแพร่เชื้อเร็วกว่า รุนแรงกว่า รวมทั้งปัจจุบันวิธีดำเนินชีวิตและพฤติกรรมหลายๆอย่างก็ยังมิได้ถูกปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น คนส่วนมากยังขาดการออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน บริโภคอาหารไม่ถูกหลักอนามัย ดำเนินชีวิตไร้ระเบียบวินัยหรือกระทั่งประมาท สะเพร่า บกพร่อง จนทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนไร้ระเบียบ อวัยวะต่างๆ ทำงานตกต่ำบกพร่อง ร่างกายมีของเสียสารพิษต่างๆ ตกค้างสะสมมาก หลอดเลือดสกปรกตีบตัน
กระทั่งร่างกายสูญเสียความสมดุลภูมิคุ้มกันตกต่ำ ง่ายที่จะก่อเกิดเป็นโรคต่างๆตามมา ร่างกายมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเน้นต้องฉีกวัคซีนทุกๆปี แล้ววัคซีนจะสามารถปกป้องร่างกายของเราในคลอดเวลาทั้งปีมิให้ถูกโควิท-19 แพร่เชื้อทำร้ายได้ไหม ?
ถ้าหากมนุษย์เราจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทุกปีแล้ว ทำไมเราไม่ลองปรับยุทธวิธีที่ต่อสู้กับโควิท-19 จากตลอดเวลา 1 ปีกว่า ที่ผ่านมาเราต้องตกอยู่ในสถานภาพที่คอยตั้งรับอย่างเดียว ให้ปรับเป็นเชิงรุกเป็นบวก ยุทธวิธีมาตราการก็คือเราควรรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคน ตื่นตัวสนใจดูแลเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของตนให้แข็งแรง มีประสิทธิภาพในทุกๆวัน
โดยเน้นให้เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน ดำเนินชีวิตให้มีระเบียบวินัย บริโภคอาหารการกินการดื่มให้ถูกหลักอนามัย ดูแลระบบย่อยขับถ่ายเป็นพิเศษ ให้ร่างกายสามารถขับอุจจาระของเสียสารพิษออกจากร่างกายที่มีประสิทธิภาพทุกๆวัน และปรับร่างกายให้เข้าสู่สมดุลทุกวัน
ปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำทุกวันเราก็จะสามารถดึงดูดตัวภูมิคุ้มกันที่ซ่อนเร้นในร่างกาย ออกมารับใช้สุขภาพเรา ภูมิคุ้มกันดังกล่าวนี้ก็จะสามารถปกป้องต้านทานเชื้อโรคไวรัสต่างๆ รวมทั้งโควิท-19 ที่แพร่เชื้อทำร้ายเรา และผมก็เชื่อมั่นว่าถ้าคนส่วนมากในสังคมมีสุขภาพร่างกายแข็งแกร่งภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง เราก็จะสามารถควบคุมสกัดมิให้ไวรัสโควิท-19 แพร่เชื้อทำร้ายร่างกายเรา
ประสบการณ์ของผู้เขียนในการดูแลเสริมสร้างสุขภาพ 30 ปีที่ผ่านมา พยายามปรับการดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยในทุกๆ วัน บริหารออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ ดังเช่น การรำมวยไทเก็กด้วยเท้าเปล่า หรือการเดินด้วยเท้าเปล่า สลับการว่ายน้ำทุกครั้งของการออกกำลังกายขั้นต่ำ 1 ชั่วโมง ( สำหรับผู้เขียนจะออกกำลังกายเช้า-เย็น 2 รอบ ) ร่างกายก็จะสามารถดึงสาร Endorphin ออกมารับใช้สุขภาพ
30 ปีผ่านไปเสมือน 1 วัน ปัจจุบันผู้เขียน อายุ 79 ปี ในร่างกายไม่มีโรคประจำตัวไม่มีความดัน ไม่มีเบาหวาน ปอดหัวใจยังปฏิบัติหน้าที่งานปกติ ไตปกติ ต่อมลูกหมากปกติ คอเลสเตอรอลไขมันปกติ 30 ปีที่ผ่านมาน้อยครั้งที่จะเกิดอาการหวัด และตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยทานยาแขนงใดๆ แก้ไขอาการหวัด คอเจ็บ ปวดหัว โดยเฉพาะจนถึงปัจจุบัน 2 ข้างสายตายังรักษาได้ดีอย่างปกติ ไม่เคยมีสายตาสั้น สายตายาว ไม่มีอาการต้อหิน ต้อกระจก อ่านเขียนหนังสือได้ปกติดี